น้ำ MRET หรือน้ำประจุพลังที่สร้างโดยวิธีใส่น้ำลงในเครื่องกระตุ้นที่เรียกว่า เครื่อง MRET ทำให้กลายเป็นน้ำที่มีคุณสมบัติพิเศษ กำลังเป็นที่สนใจในหมู่นักขายตรง และนักขายผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ จนมีการประชุม-เชิญนักวิชาการที่ดูน่าเชื่อถือมาบรรยายตามข่าวนี้
http://www.thaihotbiz.com/MRET%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5.htm
http://www.dtam.moph.go.th/alternative/viewstory.php?id=84
มันมีความเป็นมายังไง ลองดาวน์โหลดเอกสารสิทธิบัตรไปอ่าน แล้วอ่านไปพร้อมๆกันครับ
http://v3.espacenet.com/origdoc?DB=EPODOC&IDX=US6022479&F=0&QPN=US6022479
ส่วนที่เหลือเป็นข้อถือสิทธิ ไม่ค่อยน่าสนใจ ใครอยากอ่านก็ไปโหลดเอกสารตัวเต็มมาอ่านกันได้ครับ
เป็นไงครับ ได้เห็นวิทยาการเบื้องหลังการสร้างน้ำพลังแม่เหล็กไฟฟ้า ถึงกับตะลึงไปเลยใช่ไหมครับ
ถึงตอนนี้แล้ว คุณจะตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็พูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำแล้วครับว่า
คุณได้ศึกษาถึงรายละเอียดการทำงานของเครื่องแล้วจึงได้ตัดสินใจ
ไม่ มีตังค์ซื้อเครื่องไม่เป็นไรครับ... สำหรับท่านที่ต้องการใช้งานเครื่อง MRET ไม่ว่าจะใช้เพราะหมั่นใส้เพื่อนบ้านที่ชอบเอามาอวด... หรือต้องการรักษาญาติสนิทมิตรสหายที่ป่วยด้วยอาการ psychosomatic syndromes
เรามาทำเครื่อง MRET ใช้เองกันเถอะ
เมื่อได้ดูหลักการของเครื่อง MRET จากสิทธิบัตร เราสามารถก๊อปปี้.. เอ้ย.. ต่อยอดองค์ความรู้ได้ไม่ยากครับ
วัสดุ-อุปกรณ์
วงจรไฟกระพริบ (หาแบบสำเร็จรูปได้จากบ้านหม้อในราคา 99 บาท)
LED 2.50 บาท
กาวอีปอกซี หาได้จากโฮมโปร 199 บาท
ท่อ PVC ขนาด 4-6 หุน ยาว 3-6 นิ้ว แอบตัดเอาจากข้างบ้านก็ได้
พาราเซตามอล 1 เม็ด
วิตามินบีรวม 1 เม็ด
ทรายก่อสร้างหยิบมือนึง
เปลือกหอยเบี้ย ถ้าหาไม่ได้ก็อนุโลมให้ใช้หอยแครง หอยโข่ง หรือหอยเชอรี่ได้
เทปกาว
ครกหิน
แม่เหล็ก 2-14 ชิ้น (ต้องเป็นเลขคู่นะจ๊ะ) แกะจากลำโพงเก่าๆก็ได้
วิธีทำ
- เอาเปลือกหอย วิตามินบี พาราเซตามอล และทราย โขลกรวมกันในครกหิน ถ้าขยันก็โขลกละเอียดหน่อย ถ้าขี้เกียจก็เอาแค่หยาบๆ ไม่ต้องซีเรียส เพราะน้ำ MRET ก็ไม่ต่างกับน้ำธรรมดาหรอกครับ
- ผสมกาวอีปอกซีรวมกับผงที่ขูดออกมาจากครกในอัตราส่วนประมาณ 7:3 จนถึง 9:1 ผสมผงเยอะๆก็ดี ไม่เปลืองกาว ไม่ต้องซีเรียส เพราะน้ำ MRET ก็ไม่ต่างกับน้ำธรรมดาหรอกครับ
- เอาเทปกาวแปะปิดก้นท่อ PVC
- เทของที่ผสมเอาไว้ลงให้เต็มท่อ ระวังอย่าให้มีฟองกากาศ แต่ถึงมีฟองก็ไม่ต้องซีเรียส เพราะน้ำ MRET ก็ไม่ต่างกับน้ำธรรมดาหรอกครับ
- รอให้กาวแข็ง 1 คืน
- แกะกระดาษกาวออก
- เอาแม่เหล็กประกบด้านข้างท่อ PVC แบบให้ขั้วตรงข้ามหันเข้าหากัน พันด้วยเทปกาว ถ้ามีมากกว่า 1 ชุด ก็แปะเรียงให้เป็นแถวตามยาว ไม่ต้องซีเรียส เพราะน้ำ MRET ก็ไม่ต่างกับน้ำธรรมดาหรอกครับ
- ตั้งวงจรไฟกระพริบให้กระพริบด้วยความถี่ 7.8 ครั้งต่อวินาที ถ้านับไม่ทันก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องซีเรียส เพราะน้ำ MRET ก็ไม่ต่างกับน้ำธรรมดาหรอกครับ
- ต่อ LED สีส้มกับวงจรไฟกระพริบ ถ้าหาสีส้มไม่ได้ไม่เป็นไร ใช้สีแดงก็ได้ไม่ต้องซีเรียส เพราะน้ำ MRET ก็ไม่ต่างกับน้ำธรรมดาหรอกครับ
- เอา LED มาจ่อที่ปลายท่อ เอาเทปพันให้แน่นหนาแข็งแรง
วิธีการใช้งาน
คลื่น พลัง MRET จะออกมาจากปลายอีกด้านหนึ่งของท่อ (ด้านตรงข้ามกับหลอดไฟ) ให้เอาไปฉายด้านบนของน้ำที่ต้องการกระตุ้น เช่นจากฝาเหยือกน้ำ (ถ้าต้องการดื่มน้ำ MRET) หรือโอ่งน้ำ (ถ้าจะอาบน้ำ MRET)
คลื่น พลัง MRET จะเปลี่ยนน้ำธรรมดาให้เป็นน้ำที่มีพลังงาน placebo สามารถนำไปใช้บำบัดรักษาโรคในกลุ่มอาการ psychosomatic syndromes ได้เป็นอย่างดี
วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553
พลศาสตร์ของศาสตราวุธ
ศัสตราวุธหรืออาวุธที่ใช้ฟัน-แทง เช่น มีด ดาบ หอก พลอง ขวาน มีวิวัฒนาการมายาวนาน พอๆกับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ถึงแม้ว่าทุกวันนี้เราจะไม่ได้สู้รบ ป้องกันตัวโดยใช้อาวุธเหล่านี้เป็นหลัก แต่ก็ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ ทั้งในรูปแบบเชิงขนบธรรมเนียม การกีฬา การแสดง หรือการใช้ในลักษณะเครื่องมือดำรงชีพ แต่อย่างไรก็ดีอาวุธเหล่านี้ได้รับการพัฒนาขึ้นจากการใช้งาน การลองผิดลองถูก มาตลอด ถึงแม้ว่าในประวัติศาสตร์จะมีการบันทึกรูปร่าง ลักษณะ สัดส่วน วัสดุ ของอาวุธเอาไว้ ตลอดจนการพัฒนาทางด้านวัสดุศาสตร์ของอาวุธที่ทำให้เรามองเห็นไปจนถึงระดับ อะตอม แต่แทบจะกล่าวได้ว่าเรามีความเข้าใจเชิงทฤษฎีสำหรับอธิบายพลศาสตร์ของอาวุธ น้อยมาก ดังจะเห็นได้ว่า อาวุธที่ผลิตขึ้นในยุคหลัง โดยทำขึ้นเพื่อใช้สำหรับการแสดง การกีฬา หรือ สืบขนบประเพณี ความเชื่อ จะมีสัดส่วนที่แตกต่างไปจากอาวุธที่ใช้ในการสงครามจริงๆ ซึ่งมีผลทำให้การหยิบ การจับ การเคลื่อนไหว การควบคุม ตลอดไปจนถึงวิชาอาวุธเปลี่ยนแปลงไป
1 สมบัติทางพลศาสตร์ของอาวุธ
คือ สมบัติต่างๆที่มีผลกับลักษณะการส่งถ่ายแรง การเคลื่อนที่ของอาวุธ ทั้งการเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง การเคลื่อนที่เป็นวงกลม รวมไปถึงการเคลื่อนที่เมื่อมีการกระทบกับวัตถุอื่น
1.1 ความยาว ศาสตราวุธเป็นเครื่องมือที่ใช้เพิ่มระยะต่อไปจากมือ.ดังนั้นจึงมีความยาว โดยทั่วไปเราจะวัดความยาวของอาวุธจากส่วนปลายข้างหนึ่ง ไปจนถึงปลายอีกข้างหนึ่ง เรียกว่าความยาวรวม (Total Length) นอกจากนี้ในรายละเอียดยังมีการวัดความยาวด้ามและความยาวใบอีกด้วย
1.2 มวล (หรือถ้าเรียกเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายๆก็คือน้ำหนัก) คือสมบัติที่ต่อต้านการเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง ตัวอย่างเช่นในการขว้างลูกเหล็กกับลูกบอลไม้ให้ได้ความเร็วเท่ากัน การขว้างลูกเหล็กจะต้องใช้แรงมากกว่า ดังนั้นการควบคุมอาวุธที่มีมวล(น้ำหนัก)มากกว่า จะต้องออกแรงมากกว่า น้ำหนักอาวุธมีผลต่อทั้งการพกพาและลักษณะการใช้งาน
1.3 จุดศูนย์ถ่วง (Center of Gravity) จุดศูนย์กลางมวล (Center of Mass, COM) หรือจุดสมดุลย์ (Point of Balance, POB) เป็นจุดที่อยู่ตรงศูนย์กลางของกลุ่มมวลที่ประกอบขึ้นมาเป็นชิ้นอาวุธ จุดศูนย์ถ่วงไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ตรงกึ่งกลางความยาวของชิ้นอาวุธเสมอไป เช่นจุดศูนย์ถ่วงของขวาน จะอยู่ค่อนไปทางหัวขวานมากกว่า นอกจากนี้จุดศูนย์ถ่วงของอาวุธอาจจะอยู่ในบริเวณที่เป็นเนื้อวัสดุ เช่นจุดศูนย์ถ่วงของพลองที่อยู่ตรงกึ่งกลาง หรืออาจจะอยู่ในบริเวณนอกเนื้อวัสดุเช่นจุดศูนย์ถ่วงของดาบโค้งที่อยู่ เยื้องออกไปเหนือสันดาบ
จุด ศูนย์ถ่วงของอาวุธมีผลต่อความรู้สึกว่าอาวุธนั้นๆ “หนัก” หรือ “เบา” เมื่อถืออาวุธในแนวนอนโดยจับในบริเวณที่อยู่นอกจุดศูนย์ถ่วง จะต้องออกแรงบิดในปริมาณที่สัมพันธ์กับน้ำหนักและระยะทางจากจุดศูนย์ถ่วง ตามหลักคานดีดคานงัดยิ่งระยะจากจุดศูนย์ถ่วง ห่างออกจากจุดที่จับมากเท่าไหร่ ก็จะต้องออกแรงบิดมากขึ้น ดังนั้น หากถืออาวุธที่มีน้ำหนักมาก แต่จุดศูนย์ถ่วงอยู่ใกล้กับจุดที่จับถือ อาจจะรู้สึกเบากว่าการถืออาวุธที่มีน้ำหนักเบา แต่จุดศูนย์ถ่วงอยู่ห่างจากจุดที่จับถือก็เป็นได้
1.4 โมเมนต์ความเฉื่อย (Moment of Inertia, MOI) เป็นสมบัติที่คล้ายกับมวล แต่เป็นสมบัติที่ต่อต้านการเคลื่อนที่เชิงมุมในลักษณะการหมุน ควง โดยจะสัมพันธ์กับทั้งมวล และรูปร่างของวัตถุ ยกตัวอย่างเช่นการหมุนวงล้อที่มีน้ำหนักเท่ากัน วงล้อขนาดใหญ่ จะหมุนได้ยากกว่าวงล้อขนาดเล็ก หรือกระดานไม้ที่มีลักษณะแคบยาว ก็จะหมุนได้ยากกว่ากระดานไม้ที่หนักเท่ากัน แต่กว้างและสั้นกว่า
1.4.1 โมเมนต์ความเฉื่อยรอบตัวเอง เป็นสมบัติที่ขึ้นกับรูปร่างและน้ำหนักของวัสดุ ซึ่งจะขึ้นกับผลรวมของเนื้อมวลส่วนย่อยและระยะห่างจากจุดศูนย์ถ่วงของเนื้อ มวลนั้นๆ อาจเขียนเป็นสมการทางคณิตศาสตร์ได้ดังนี้
I = SUM(mx^2)
โดยให้ m เป็นมวลย่อยในแต่ละจุด
และ x เป็นระยะห่างของมวลย่อยนั้นจากจุดศูนย์ถ่วง
จาก สมการข้างต้นจะสังเกตได้ว่า ถึงแม้อาวุธจะมีน้ำหนักเท่ากัน แต่ถ้าเลื่อนชิ้นมวลย่อยให้ออกห่างจากจุดศูนย์ถ่วงออกไป 2 เท่า ก็จะทำให้โมเมนต์ความเฉื่อยของอาวุธชิ้นนั้นเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ (4 เท่า) ของชิ้นมวลย่อยนั้นๆ
1.4.2 โมเมนต์ความเฉื่อยรอบจุดใดๆ เป็นค่าที่เกิดจากการหมุนอาวุธรอบแกนใดๆที่ไม่ใช่จุดศูนย์ถ่วงของอาวุธ เช่นการฟันโดยให้ข้อมือหรือข้อศอกเป็นจุดหมุนเป็นต้น ค่าโมเมนต์ความเฉื่อยรอบแกนหมุนจะแปรผันตามค่าโมเมนต์ความเฉื่อยรอบตัวเอง รวมกับผลคูณของมวลและระยะทางจากจุดหมุนถึงจุดศูนย์ถ่วง สามารถเขียนเป็นสมการคณิตศาสตร์ได้ดังนี้
Ix = ICOM + mx^2
โดยให้ Ix เป็นโมเมนต์ความเฉื่อยรอบแกนใดๆ ระยะห่าง x จากจุดศูนย์กลางมวล
ICOM เป็นค่าโมเมนต์ความเฉื่อยรอบตัวเองของอาวุธและ m เป็นมวลของอาวุธ
จากสมการข้างต้นจะสังเกตได้ว่า แรงที่ต้องใช้ในการกวัดแกว่งอาวุธใดๆจะขึ้นอยู่กับโมเมนต์ความเฉื่อยรอบตัวเอง ICOM ของอาวุธนั้นๆ
หาก เปรียบเทียบระหว่างอาวุธที่มีน้ำหนักน้อย แต่โมเมนต์ความเฉื่อยสูงเช่นง้าว กับอาวุธที่น้ำหนักมาก แต่โมเมนต์ความเฉื่อยต่ำเช่นดาบ อาวุธที่มีค่าโมเมนต์ความเฉื่อยต่ำกว่า จะกวัดแกว่งได้รวดเร็ว แคล่วคล่อง พลิกแพลงได้ดีกว่าอาวุธที่มีโมเมนต์ความเฉื่อยสูง
จากสมการ Ix = ICOM + mx^2 จะสังเกตได้ว่า อาวุธที่มีค่า x (ระยะจากจุดศูนย์ถ่วงมาถึงจุดหมุน) มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ ค่าโมเมนต์ความเฉื่อยมากขึ้นเป็นทวีคูณ ดังนั้นอาวุธที่จุดศูนย์ถ่วงห่างจากจุดหมุนมากเท่าไหร่ ก็จะต้องใช้แรงมากและรู้สึกหนักเมื่อใช้งานในลักษณะหมุน ควง
นอกจาก นี้ ลักษณะการใช้งานอาวุธที่ต้องการความคล่องแคล่วสูง เช่นการปัดป้อง มักจะมีจุดหมุนหรือพลิกอาวุธในบริเวณใกล้กับจุดศูนย์ถ่วง เช่นการควงพลองหรือง้าวโดยใช้กึ่งกลางพลองเป็นจุดหมุน หรือการพลิกดาบโดยใช้จุดหมุนใกล้กับจุดศูนย์ถ่วงเป็นต้น ดังนั้นการใช้อุปกรณ์ที่มีจุดศูนย์ถ่วงคลาดเคลื่อนไปมากในการฝึกซ้อม อาจส่งผลต่อลักษณะวิชาการใช้อาวุธได้
1.5 จุดกระทบ (Point of Percussion) เมื่อแรงกระทำต่อวัตถุไม่ได้ผ่านจุดศูนย์กลางมวลพอดี จะทำให้วัตถุหมุนรอบจุดหมุน (Pivot Point)
เมื่อ วัตถุเป้าหมายกระทบกับอาวุธ ณ ตำแหน่งใดๆที่ไม่ใช่จุดศูนย์ถ่วงแล้ว นอกจากจะทำให้อาวุธหมุนรอบวัตถุเป้าหมายเกิดเป็นแกนหมุนแกนหนึ่งแล้ว ยังทำให้เกิดการหมุนรอบแกนสัมพัทธ์อีกแกนหนึ่งเสมอ ซึ่งจะเกิดขึ้นในด้านตรงกันข้ามกัน โดยมีจุดศูนย์ถ่วงอยู่ระหว่างแกนหมุนทั้งสองแกน
ความสัมพันธ์ระหว่างแกนหมุนทั้งสองสามารถอธิบายได้ด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ดังนี้
x2 = ICOM/(mx1)
หาก แกนหมุนสัมพัทธ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในตำแหน่งที่จับยึดอาวุธ มือจะไม่ได้รับแรงสะบัดจากการหมุนที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่สะท้านมือ และสามารถใช้อาวุธได้อย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุด ไม่ว่าจะใช้ออกไปโดนเป้าหมายหรือไม่ จุดบนอาวุธที่หมุนสัมพัทธ์กับจุดที่มือจับนั้นเรียกว่าจุดกระทบ (Point of Percussion) ที่เหมาะสมสำหรับอาวุธชิ้นนั้นๆ
หาก ตำแหน่งที่กระทบกับวัตถุเป้าหมายคลาดเคลื่อนไปจากจุดกระทบที่เหมาะสม เช่นการใช้อาวุธด้วยลักษณะที่คลาดเคลื่อนไปจากวิชาอาวุธชนิดนั้นๆ จะทำให้เกิดแกนหมุนสัมพัทธ์ห่างออกไปจากจุดที่จับถือ ซึ่งนอกจากจะทำให้สะท้านมือแล้ว ยังทำให้แนวการเคลื่อนที่ของมือเปลี่ยนไปหลังจากอาวุธกระทบกับวัตถุ และทำให้การออกอาวุธไม่ราบลื่นต่อเนื่อง
และ ในทางกลับกัน หากอาวุธถูกออกแบบมาไม่เหมาะสม มีจุดกระทบที่คลาดเคลื่อนไปจากลักษณะการใช้อาวุธที่เหมาะสม ก็จะทำให้รู้สึกสะท้านมือได้เช่นกัน ดังนั้นลักษณะสัดส่วนอาวุธ และลักษณะวิชาประกอบอาวุธ จึงมีวิวัฒนาการไปควบคู่กัน การใช้อาวุธที่มีลักษณะสัดส่วนคลาดเคลื่อนแตกต่างออกไปจากเดิม ก็มีส่วนทำให้วิชาการใช้อาวุธคลาดเคลื่อนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้เช่นกัน
2 การหาค่าสมบัติทางพลศาสตร์
เมื่อ ทราบความสำคัญของสมบัติต่างๆที่มีผลต่อลักษณะการใช้งานอาวุธ ก็ควรที่จะต้องทราบวิธีวัดค่าสมบัติต่างๆด้วย เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบ จัดหมวดหมู ่และจดบันทึกได้
มวลและความยาวของอาวุธ สามารถวัดได้ด้วยอุปกรณ์พื้นฐานเช่นเครื่องชั่งและอุปกรณ์วัดความยาวเช่นสายวัดหรือไม้เมตร
การ หาจุดศูนย์ถ่วง อาจทำได้โดยหาแนวจุดศูนย์ถ่วงอย่างง่ายโดยการวางอาวุธในแนวนอนเพื่อหาจุดสม ดุลย์ เช่นการวางบนปลายนิ้ว วิธีการนี้จะทำให้สามารถประเมินศูนย์ถ่วงคร่าวๆได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ดี การศึกษาสมบัติอื่นๆจำเป็นต้องหาจุดศูนย์ถ่วงอย่างแม่นยำ ซึ่งอาจต้องใช้วิธีที่ซับซ้อนขึ้น เช่นการแขวนกับเส้นด้ายแล้วหาจุดศูนย์ถ่วงจากตำแหน่งที่เกิดจากการตัดกันของ แนวศูนย์ถ่วงมากกว่าหนึ่งแนว
เมื่อทราบจุดศูนย์ถ่วงที่แน่นอนแล้วก็สามารถนำผลที่ได้มาคำนวณสามารถหาค่าโมเมนต์ความเฉื่อยได้ดังนี้
และจากสมการ x2 = ICOM/(mx1) สามารถเขียนใหม่ได้เป็น
x2 x1 = ICOM/m
ซึ่ง หมายความว่าผลคูณของระยะระหว่างจุดหมุนจุดกระทบและจุดที่จับถือ จะเท่ากับค่าคงตัวที่ขึ้นอยู่กับโมเมนต์ความเฉื่อยและน้ำหนักของอาวุธเสมอ และดังนั้นเมื่อทราบค่า ICOM/m ก็ทำให้คำนวณหาจุดหมุนหรือจุดกระทบที่เหมาะสมกับตำแหน่งการจับถือบนอาวุธแต่ ละชิ้นได้
3 แนวจุดศูนย์ถ่วงและองศาด้าม
ลักษณะการวางองศาด้ามและใบ ของอาวุธที่มีคมด้านเดียวและมีความโค้งช่วยเพิ่มเสถียรภาพเมื่ออาวุธมีการ เคลื่อนที่ด้วยความเร่ง เช่นออกแรงการหมุน ควง สะบัดอาวุธ รวมทั้งจากการที่อาวุธปะทะกับวัตถุเป้าหมาย
โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อออกแรงบิดเพื่อเพิ่มความเร็วให้กับอาวุธ จะเกิดแรงเฉื่อยที่เกิดจากมวลของอาวุธพยายามฉุดให้อาวุธรักษาสภาพนิ่ง ทิศทางของแรงเฉื่อยจะอยู่ในทิศทางตรงข้ามกับแรงบิดบนอาวุธเสมอ โดยแรงเฉื่อยลัพธ์จะเกิดบนจุดศูนย์ถ่วงของอาวุธ ดังนั้นหากจุดที่เกิดแรงเฉื่อยอยู่หลังแนวด้ามผู้ใช้อาวุธก็จะรู้สึกเสมือน กับว่าอาวุธถูกฉุดรั้งจากด้านสัน ทำให้แนวคมของอาวุธพลิกไปในทิศทางเดียวกับแรงบิดที่กระทำบนด้าม
ใน ทางกลับกัน เมื่ออาวุธมีการปะทะกับวัตถุเป้าหมาย อาวุธจะลดความเร็วลง ทำให้เกิดแรงเฉื่อยที่เกิดจากมวลของอาวุธพยายามฉุดให้อาวุธรักษาสภาพการ เคลื่อนที่ต่อไปโดยที่ทิศทางของแรงเฉื่อยจะอยู่ในทิศทางที่ตรงข้ามกับแรง ปะทะ หากอาวุธมีส่วนโค้งมากจุดปะทะจะอยู่ในแนวที่สูงกว่าจุดศูนย์ถ่วง ทำให้แรงเฉื่อยที่เกิดขึ้นทำให้แนวคมของอาวุธอยู่ในทิศทางตรงข้ามกับแรงปะทะ เสมอ และช่วยรักษาแนวคมไม่ให้พลิกหรือแฉลบ
ข้อมูลบางส่วนอ้างอิงจาก
Dynamics of Hand-Held Impact Weapons โดย George L Turner
1 สมบัติทางพลศาสตร์ของอาวุธ
คือ สมบัติต่างๆที่มีผลกับลักษณะการส่งถ่ายแรง การเคลื่อนที่ของอาวุธ ทั้งการเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง การเคลื่อนที่เป็นวงกลม รวมไปถึงการเคลื่อนที่เมื่อมีการกระทบกับวัตถุอื่น
1.1 ความยาว ศาสตราวุธเป็นเครื่องมือที่ใช้เพิ่มระยะต่อไปจากมือ.ดังนั้นจึงมีความยาว โดยทั่วไปเราจะวัดความยาวของอาวุธจากส่วนปลายข้างหนึ่ง ไปจนถึงปลายอีกข้างหนึ่ง เรียกว่าความยาวรวม (Total Length) นอกจากนี้ในรายละเอียดยังมีการวัดความยาวด้ามและความยาวใบอีกด้วย
1.2 มวล (หรือถ้าเรียกเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายๆก็คือน้ำหนัก) คือสมบัติที่ต่อต้านการเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง ตัวอย่างเช่นในการขว้างลูกเหล็กกับลูกบอลไม้ให้ได้ความเร็วเท่ากัน การขว้างลูกเหล็กจะต้องใช้แรงมากกว่า ดังนั้นการควบคุมอาวุธที่มีมวล(น้ำหนัก)มากกว่า จะต้องออกแรงมากกว่า น้ำหนักอาวุธมีผลต่อทั้งการพกพาและลักษณะการใช้งาน
1.3 จุดศูนย์ถ่วง (Center of Gravity) จุดศูนย์กลางมวล (Center of Mass, COM) หรือจุดสมดุลย์ (Point of Balance, POB) เป็นจุดที่อยู่ตรงศูนย์กลางของกลุ่มมวลที่ประกอบขึ้นมาเป็นชิ้นอาวุธ จุดศูนย์ถ่วงไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ตรงกึ่งกลางความยาวของชิ้นอาวุธเสมอไป เช่นจุดศูนย์ถ่วงของขวาน จะอยู่ค่อนไปทางหัวขวานมากกว่า นอกจากนี้จุดศูนย์ถ่วงของอาวุธอาจจะอยู่ในบริเวณที่เป็นเนื้อวัสดุ เช่นจุดศูนย์ถ่วงของพลองที่อยู่ตรงกึ่งกลาง หรืออาจจะอยู่ในบริเวณนอกเนื้อวัสดุเช่นจุดศูนย์ถ่วงของดาบโค้งที่อยู่ เยื้องออกไปเหนือสันดาบ
จุด ศูนย์ถ่วงของอาวุธมีผลต่อความรู้สึกว่าอาวุธนั้นๆ “หนัก” หรือ “เบา” เมื่อถืออาวุธในแนวนอนโดยจับในบริเวณที่อยู่นอกจุดศูนย์ถ่วง จะต้องออกแรงบิดในปริมาณที่สัมพันธ์กับน้ำหนักและระยะทางจากจุดศูนย์ถ่วง ตามหลักคานดีดคานงัดยิ่งระยะจากจุดศูนย์ถ่วง ห่างออกจากจุดที่จับมากเท่าไหร่ ก็จะต้องออกแรงบิดมากขึ้น ดังนั้น หากถืออาวุธที่มีน้ำหนักมาก แต่จุดศูนย์ถ่วงอยู่ใกล้กับจุดที่จับถือ อาจจะรู้สึกเบากว่าการถืออาวุธที่มีน้ำหนักเบา แต่จุดศูนย์ถ่วงอยู่ห่างจากจุดที่จับถือก็เป็นได้
1.4 โมเมนต์ความเฉื่อย (Moment of Inertia, MOI) เป็นสมบัติที่คล้ายกับมวล แต่เป็นสมบัติที่ต่อต้านการเคลื่อนที่เชิงมุมในลักษณะการหมุน ควง โดยจะสัมพันธ์กับทั้งมวล และรูปร่างของวัตถุ ยกตัวอย่างเช่นการหมุนวงล้อที่มีน้ำหนักเท่ากัน วงล้อขนาดใหญ่ จะหมุนได้ยากกว่าวงล้อขนาดเล็ก หรือกระดานไม้ที่มีลักษณะแคบยาว ก็จะหมุนได้ยากกว่ากระดานไม้ที่หนักเท่ากัน แต่กว้างและสั้นกว่า
1.4.1 โมเมนต์ความเฉื่อยรอบตัวเอง เป็นสมบัติที่ขึ้นกับรูปร่างและน้ำหนักของวัสดุ ซึ่งจะขึ้นกับผลรวมของเนื้อมวลส่วนย่อยและระยะห่างจากจุดศูนย์ถ่วงของเนื้อ มวลนั้นๆ อาจเขียนเป็นสมการทางคณิตศาสตร์ได้ดังนี้
I = SUM(mx^2)
โดยให้ m เป็นมวลย่อยในแต่ละจุด
และ x เป็นระยะห่างของมวลย่อยนั้นจากจุดศูนย์ถ่วง
จาก สมการข้างต้นจะสังเกตได้ว่า ถึงแม้อาวุธจะมีน้ำหนักเท่ากัน แต่ถ้าเลื่อนชิ้นมวลย่อยให้ออกห่างจากจุดศูนย์ถ่วงออกไป 2 เท่า ก็จะทำให้โมเมนต์ความเฉื่อยของอาวุธชิ้นนั้นเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ (4 เท่า) ของชิ้นมวลย่อยนั้นๆ
1.4.2 โมเมนต์ความเฉื่อยรอบจุดใดๆ เป็นค่าที่เกิดจากการหมุนอาวุธรอบแกนใดๆที่ไม่ใช่จุดศูนย์ถ่วงของอาวุธ เช่นการฟันโดยให้ข้อมือหรือข้อศอกเป็นจุดหมุนเป็นต้น ค่าโมเมนต์ความเฉื่อยรอบแกนหมุนจะแปรผันตามค่าโมเมนต์ความเฉื่อยรอบตัวเอง รวมกับผลคูณของมวลและระยะทางจากจุดหมุนถึงจุดศูนย์ถ่วง สามารถเขียนเป็นสมการคณิตศาสตร์ได้ดังนี้
Ix = ICOM + mx^2
โดยให้ Ix เป็นโมเมนต์ความเฉื่อยรอบแกนใดๆ ระยะห่าง x จากจุดศูนย์กลางมวล
ICOM เป็นค่าโมเมนต์ความเฉื่อยรอบตัวเองของอาวุธและ m เป็นมวลของอาวุธ
จากสมการข้างต้นจะสังเกตได้ว่า แรงที่ต้องใช้ในการกวัดแกว่งอาวุธใดๆจะขึ้นอยู่กับโมเมนต์ความเฉื่อยรอบตัวเอง ICOM ของอาวุธนั้นๆ
หาก เปรียบเทียบระหว่างอาวุธที่มีน้ำหนักน้อย แต่โมเมนต์ความเฉื่อยสูงเช่นง้าว กับอาวุธที่น้ำหนักมาก แต่โมเมนต์ความเฉื่อยต่ำเช่นดาบ อาวุธที่มีค่าโมเมนต์ความเฉื่อยต่ำกว่า จะกวัดแกว่งได้รวดเร็ว แคล่วคล่อง พลิกแพลงได้ดีกว่าอาวุธที่มีโมเมนต์ความเฉื่อยสูง
จากสมการ Ix = ICOM + mx^2 จะสังเกตได้ว่า อาวุธที่มีค่า x (ระยะจากจุดศูนย์ถ่วงมาถึงจุดหมุน) มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ ค่าโมเมนต์ความเฉื่อยมากขึ้นเป็นทวีคูณ ดังนั้นอาวุธที่จุดศูนย์ถ่วงห่างจากจุดหมุนมากเท่าไหร่ ก็จะต้องใช้แรงมากและรู้สึกหนักเมื่อใช้งานในลักษณะหมุน ควง
นอกจาก นี้ ลักษณะการใช้งานอาวุธที่ต้องการความคล่องแคล่วสูง เช่นการปัดป้อง มักจะมีจุดหมุนหรือพลิกอาวุธในบริเวณใกล้กับจุดศูนย์ถ่วง เช่นการควงพลองหรือง้าวโดยใช้กึ่งกลางพลองเป็นจุดหมุน หรือการพลิกดาบโดยใช้จุดหมุนใกล้กับจุดศูนย์ถ่วงเป็นต้น ดังนั้นการใช้อุปกรณ์ที่มีจุดศูนย์ถ่วงคลาดเคลื่อนไปมากในการฝึกซ้อม อาจส่งผลต่อลักษณะวิชาการใช้อาวุธได้
1.5 จุดกระทบ (Point of Percussion) เมื่อแรงกระทำต่อวัตถุไม่ได้ผ่านจุดศูนย์กลางมวลพอดี จะทำให้วัตถุหมุนรอบจุดหมุน (Pivot Point)
เมื่อ วัตถุเป้าหมายกระทบกับอาวุธ ณ ตำแหน่งใดๆที่ไม่ใช่จุดศูนย์ถ่วงแล้ว นอกจากจะทำให้อาวุธหมุนรอบวัตถุเป้าหมายเกิดเป็นแกนหมุนแกนหนึ่งแล้ว ยังทำให้เกิดการหมุนรอบแกนสัมพัทธ์อีกแกนหนึ่งเสมอ ซึ่งจะเกิดขึ้นในด้านตรงกันข้ามกัน โดยมีจุดศูนย์ถ่วงอยู่ระหว่างแกนหมุนทั้งสองแกน
ความสัมพันธ์ระหว่างแกนหมุนทั้งสองสามารถอธิบายได้ด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ดังนี้
x2 = ICOM/(mx1)
หาก แกนหมุนสัมพัทธ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในตำแหน่งที่จับยึดอาวุธ มือจะไม่ได้รับแรงสะบัดจากการหมุนที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่สะท้านมือ และสามารถใช้อาวุธได้อย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุด ไม่ว่าจะใช้ออกไปโดนเป้าหมายหรือไม่ จุดบนอาวุธที่หมุนสัมพัทธ์กับจุดที่มือจับนั้นเรียกว่าจุดกระทบ (Point of Percussion) ที่เหมาะสมสำหรับอาวุธชิ้นนั้นๆ
หาก ตำแหน่งที่กระทบกับวัตถุเป้าหมายคลาดเคลื่อนไปจากจุดกระทบที่เหมาะสม เช่นการใช้อาวุธด้วยลักษณะที่คลาดเคลื่อนไปจากวิชาอาวุธชนิดนั้นๆ จะทำให้เกิดแกนหมุนสัมพัทธ์ห่างออกไปจากจุดที่จับถือ ซึ่งนอกจากจะทำให้สะท้านมือแล้ว ยังทำให้แนวการเคลื่อนที่ของมือเปลี่ยนไปหลังจากอาวุธกระทบกับวัตถุ และทำให้การออกอาวุธไม่ราบลื่นต่อเนื่อง
และ ในทางกลับกัน หากอาวุธถูกออกแบบมาไม่เหมาะสม มีจุดกระทบที่คลาดเคลื่อนไปจากลักษณะการใช้อาวุธที่เหมาะสม ก็จะทำให้รู้สึกสะท้านมือได้เช่นกัน ดังนั้นลักษณะสัดส่วนอาวุธ และลักษณะวิชาประกอบอาวุธ จึงมีวิวัฒนาการไปควบคู่กัน การใช้อาวุธที่มีลักษณะสัดส่วนคลาดเคลื่อนแตกต่างออกไปจากเดิม ก็มีส่วนทำให้วิชาการใช้อาวุธคลาดเคลื่อนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้เช่นกัน
2 การหาค่าสมบัติทางพลศาสตร์
เมื่อ ทราบความสำคัญของสมบัติต่างๆที่มีผลต่อลักษณะการใช้งานอาวุธ ก็ควรที่จะต้องทราบวิธีวัดค่าสมบัติต่างๆด้วย เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบ จัดหมวดหมู ่และจดบันทึกได้
มวลและความยาวของอาวุธ สามารถวัดได้ด้วยอุปกรณ์พื้นฐานเช่นเครื่องชั่งและอุปกรณ์วัดความยาวเช่นสายวัดหรือไม้เมตร
การ หาจุดศูนย์ถ่วง อาจทำได้โดยหาแนวจุดศูนย์ถ่วงอย่างง่ายโดยการวางอาวุธในแนวนอนเพื่อหาจุดสม ดุลย์ เช่นการวางบนปลายนิ้ว วิธีการนี้จะทำให้สามารถประเมินศูนย์ถ่วงคร่าวๆได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ดี การศึกษาสมบัติอื่นๆจำเป็นต้องหาจุดศูนย์ถ่วงอย่างแม่นยำ ซึ่งอาจต้องใช้วิธีที่ซับซ้อนขึ้น เช่นการแขวนกับเส้นด้ายแล้วหาจุดศูนย์ถ่วงจากตำแหน่งที่เกิดจากการตัดกันของ แนวศูนย์ถ่วงมากกว่าหนึ่งแนว
เมื่อทราบจุดศูนย์ถ่วงที่แน่นอนแล้วก็สามารถนำผลที่ได้มาคำนวณสามารถหาค่าโมเมนต์ความเฉื่อยได้ดังนี้
และจากสมการ x2 = ICOM/(mx1) สามารถเขียนใหม่ได้เป็น
x2 x1 = ICOM/m
ซึ่ง หมายความว่าผลคูณของระยะระหว่างจุดหมุนจุดกระทบและจุดที่จับถือ จะเท่ากับค่าคงตัวที่ขึ้นอยู่กับโมเมนต์ความเฉื่อยและน้ำหนักของอาวุธเสมอ และดังนั้นเมื่อทราบค่า ICOM/m ก็ทำให้คำนวณหาจุดหมุนหรือจุดกระทบที่เหมาะสมกับตำแหน่งการจับถือบนอาวุธแต่ ละชิ้นได้
3 แนวจุดศูนย์ถ่วงและองศาด้าม
ลักษณะการวางองศาด้ามและใบ ของอาวุธที่มีคมด้านเดียวและมีความโค้งช่วยเพิ่มเสถียรภาพเมื่ออาวุธมีการ เคลื่อนที่ด้วยความเร่ง เช่นออกแรงการหมุน ควง สะบัดอาวุธ รวมทั้งจากการที่อาวุธปะทะกับวัตถุเป้าหมาย
โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อออกแรงบิดเพื่อเพิ่มความเร็วให้กับอาวุธ จะเกิดแรงเฉื่อยที่เกิดจากมวลของอาวุธพยายามฉุดให้อาวุธรักษาสภาพนิ่ง ทิศทางของแรงเฉื่อยจะอยู่ในทิศทางตรงข้ามกับแรงบิดบนอาวุธเสมอ โดยแรงเฉื่อยลัพธ์จะเกิดบนจุดศูนย์ถ่วงของอาวุธ ดังนั้นหากจุดที่เกิดแรงเฉื่อยอยู่หลังแนวด้ามผู้ใช้อาวุธก็จะรู้สึกเสมือน กับว่าอาวุธถูกฉุดรั้งจากด้านสัน ทำให้แนวคมของอาวุธพลิกไปในทิศทางเดียวกับแรงบิดที่กระทำบนด้าม
ใน ทางกลับกัน เมื่ออาวุธมีการปะทะกับวัตถุเป้าหมาย อาวุธจะลดความเร็วลง ทำให้เกิดแรงเฉื่อยที่เกิดจากมวลของอาวุธพยายามฉุดให้อาวุธรักษาสภาพการ เคลื่อนที่ต่อไปโดยที่ทิศทางของแรงเฉื่อยจะอยู่ในทิศทางที่ตรงข้ามกับแรง ปะทะ หากอาวุธมีส่วนโค้งมากจุดปะทะจะอยู่ในแนวที่สูงกว่าจุดศูนย์ถ่วง ทำให้แรงเฉื่อยที่เกิดขึ้นทำให้แนวคมของอาวุธอยู่ในทิศทางตรงข้ามกับแรงปะทะ เสมอ และช่วยรักษาแนวคมไม่ให้พลิกหรือแฉลบ
ข้อมูลบางส่วนอ้างอิงจาก
Dynamics of Hand-Held Impact Weapons โดย George L Turner
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)